บริษัท
ไชโย โห่สามที จำกัด
ความเป็นมา
บริษัท
ไชโย โห่สามที จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 12/1
หมู่ 6 ถ.เพชรเกษม ต.หัวหิน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
77110 โทร 08-8563-3748 บริษัทก่อตั้งขึ้น
ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2532 โดยกลุ่มผู้บริหารตระกูลโตทับเที่ยง
เพื่อผลิตอาหารกระป๋องทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ นับจากวันแรกก่อตั้งจวบจน
ด้วยความพยายามที่จะพัฒนารสชาติของผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ถูกปากผู้บริโภค ไปพร้อมๆ กับการพัฒนาทางด้านการผลิตให้มีคุณภาพและความสะอาด
การคัดเลือกวัตถุดิบที่ต้องให้ได้มาตรฐาน ทำให้ผลิตภัณฑ์ได้รับมาตรฐาน ISO9002
ที่ให้สำหรับการผลิตที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน และ ISO14001 สำหรับโรงงานที่มีการจัดการดูแลรักษาสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
มอก.18000 มอบให้กับอุตสาหกรรมที่ได้มาตรฐานตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนด
ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางผู้บริหาร และพนักงานทุกท่านภาคภูมิใจเสมอมา
และมุ่งมั่นที่จะรักษามาตรฐานอย่างเคร่งครัด โดยยึดถือสโลแกนที่ว่า"มุ่งสู่โลกกว้าง สร้างมาตรฐานสินค้า รักษาสิ่งแวดล้อม" ยังคงขยายการผลิตอย่างไม่หยุดยั้ง เห็นได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
ประเภทสแน็ค ที่ออกมาสร้างสีสัน และรสชาติหลากหลายให้แก่ผู้บริโภค
ยังนำพาชื่อเสียงของผลิตภัณฑ์ส่งออกจากประเทศไทยไปผงาดยังตลาดต่างประเทศได้อีกด้วย
ลักษณะการทำงานในระบบเดิม
แต่ละแผนกเมื่อก่อนเวลาจะเก็บข้อมูลไม่ว่าจะเป็นรายชื่อพนักงาน
สินค้าเข้าออก บัญชีรายรับรายจ่าย และฐานข้อมูลต่างที่จำเป็นต้องเก็บไว้ ก็ต้องใช้การจดบันทึกทุกอย่าง
ส่วนในด้านการผลิตสินค้าก็ไม่มีเครื่องมือช่วยต้องใช้แรงงานพนักงานทั้งสิ้นตั้งแต่นำวัตถุดิบเข้ามาแล้วทำการแปรรูป
ขบวนการผลิต รวมไปถึงการบรรจุภัณฑ์ จนการเคลื่อนย้ายของไปเก็บ
ส่วนในด้านการเก็บวัตถุดิบไม่สามารถสั่งเข้ามาเก็บไว้กักตุนไว้ได้
เพราะไม่มีที่สำหรับแช่เย็นไว้
ส่วนในด้านการเก็บสินค้าที่ผลิตเสร็จแล้ว มักจะมีปัญหากับของล้นคลังหรือสินค้าขาดสต็อก
อาจเกิดมาจากความผิดพลาดของพนักงาน ส่วนในด้านรายรับรายจ่าย
เนื่องจากเราไม่มีระบบการคิดคำนวนโดยตรงจึงทำให้ข้อมูลที่เก็บไว้ อาจมีการผิดพลาดไม่ตรงกับรายรับรายจ่ายที่เป็นอยู่
จนทำให้รายรับรายจ่ายที่คิดออกมาผิดตามไป รวมไปถึงการจ่ายเงินให้แก่พนักงาน
เราจะเสียเวลากับการต้องมานั้นจ่ายเงินให้แต่ละคนโดยตรง
แทนที่จะมีระบบออนไลน์เข้าบัญชีธนาคาร ส่วนด้วยการบันทึกการเข้าออกของพนักงานก็ต้องใช้การจดบันทึก
ซึ่งมันจะเกิดความไม่แน่นอนแก่พนักงาน เพราะเราไม่มีหลักฐานยืนยันเมื่อพนักงานเกิดการร้องเรียนเรื่องเงินที่ออกมา
และการคำนวณเงินเดือนแต่ละเดือนออกมาอาจไม่ถูกต้องแม่นยำที่สุด
ภารกิจหลักของบริษัท
1. พัฒนารสชาติของผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ถูกปากผู้บริโภค
ไปพร้อมๆ กับการพัฒนาทางด้านการผลิตให้มีคุณภาพและความสะอาด การคัดเลือกวัตถุดิบที่ต้องให้ได้มาตรฐาน
2. ผลิตสินค้าให้ออกมาตรงตามใจผู้บริโภคให้มากที่สุด
3. ผลิตสินค้ามาให้พอกับความต้องการของผู้บริโภค
4.
การเก็บถนอม และปรุงแต่ง (แปรรูป)
วัตถุประสงค์ของบริษัท
1. เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายให้แก่ลูกค้าและเกิดที่ความพึงพอใจจากลูกค้า
2. เพื่อให้สินค้าที่ผลิตภัณฑ์ออกมาสะอาด
อร่อย และถูกหลักอนามัย
3. ต้องการการเก็บถนอม
และปรุงแต่ง (แปรรูป) อาหารให้ได้มากที่สุด
เป้าหมายของบริษัท
ต้องการให้ผลิตอาหารกระป๋องมาให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด
แผนผังการจัดการองค์กร บริษัท ไชโย โห่สามที
หน้าที่
ปัญหา และการแก้ปัญหาของแต่ละแผนก มีดังนี้
1. แผนกจัดชื้อ
- จัดซื้อ
จัดหา จัดจ้าง วัตถุดิบ อุปกรณ์ เครื่องบรรจุภัณฑ์
- จัดหาผู้ขายสินค้าผู้ส่งสินค้ารายใหม่ๆ
- เปิดเอกสารใบขอซื้อ/ใบสั่งซื้อ จัดใบขอราคา/สืบราคา
- วางแผนการรับ-ส่งวัตถุดิบ อุปกรณ์ เครื่องบรรจุภัณฑ์
- จัดทำรายงานการวางแผนลดต้นทุนทั้งประจำเดือนประจำปี
ปัญหาคือ - ในแต่ละเดือนไม่สามารถทราบได้แน่ชัดว่าบริษัทสั่งสินค้าจำนวนเท่าไร
ราคา มากเท่าไร
- บิลสั่งของอาจหล่นหายจนเช็คของคลาดเคลื่อน
- บางครั้งสั่งไม่ตรงตามที่ต้องการ
- เมื่อผู้ขายสินค้าเจ้าเก่าส่งสินค้ามาไม่พอแผนกจัดสั่งซื้อของจำเป็นต้องหาผู้ขายสินค้ารายใหม่อย่างรวดเร็ว
การแก้ปัญหา -
ต้องใช้ระบบคอมพิวเตอร์บันทึกการจัดซื้อของแต่ละเดือนและออกบิลการสั่งซื้อ
-
ต้องใช้ระบบอินเตอร์เน็ตเช็คผู้ขายเพื่อที่จะได้ของในราคาถูกที่สุด
2. แผนกคลังวัตถุดิบ
- ควบคุมและประสานงานด้านวัตถุดิบ
- จัดเก็บและเคลื่อนย้ายวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ
- เตรียมวัตถุดิบเพื่อเข้าสู่ขบวนการคัดแยก
- จ่ายวัตถุดิบเพื่อกระบวนการผลิต ตลอดจนจัดทำเอกสารที่ถูกต้องตามระบบคุณภาพ
- บริหารพื้นที่จัดเก็บวัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ปัญหาคือ - วัตถุดิบล้นคลัง
- ใช้ของไม่ตรงตาม FIFO
- วัตถุดิบที่เข้ามาเช่น
ปลาสด มีเวลาอยู่ได้ไม่นานเพราะไม่ได้อุณหภูมิ
- เสียเวลาในการคัดแยกวัตถุดิบ
- ในการลำเลียงวัตถุดิบไปยังการบรรจุภัณฑ์ทำให้ของเสียหายได้
การแก้ปัญหา - ต้องใช้ระบบคอมพิวเตอร์เก็บประวัติการเข้าออกของวัตถุดิบ
-ในการคัดแยกวัตถุดิบต้องใช่เครื่องคัดแยกเพื่อให้ได้คุณภาพที่เท่ากัน
-
ต้องมีสายพานลำเลียงของเพื่อความรวดเร็ว
-
ต้องมีตู้แช่แข็งที่เก็บพวกปลาสดเก็บไว้เพื่อให้ได้อุณหภูมิที่ต้องการ
3. แผนกคลังสินค้า
- วางแผนควบคุมบริหารการสั่งซื้อวัสดุใช้งานทั่วไป
วัตถุประกอบการผลิต ภาชนะบรรจุบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ
- การจัดหาพื้นที่เช่าเพิ่มเติมให้สามารถรับปริมาณสินค้า
วัตถุดิบที่เพิ่มจากปกติไม่ให้เกิดความเสียหายจาก การจัดเก็บ
- วางแผนควบคุมการปิดฉลาก หีบห่อสินค้า
เพื่อส่งออกหรือส่งขายได้ทันเวลาที่ลูกค้า
ปัญหาคือ -
ทำให้ยุ่งยากต่อพนักงานในการเช็คของหรือพนักงานอาจจะเช็คของตกหล่นได้ง่าย
-
จัดเรียงสินค้าไม่ตามFIFO
- ในแต่ละคนปิดฉลากไม่เหมือนกันไม่เท่ากัน
ทำให้ฉลากที่ออกไปนั้นไม่สมบูรณ์และไม่เหมือนกัน สินค้าที่ออกไปนั้นเกิดความเสียหายได้
-
เสียเวลาในการลำเลียงของออกจากคลัง เพราะของมีปริมาณมาก
- ในการปิดฉลาก
ปิดหีบสินค้าล้าช้าและสิ้นเปลืองแรงงาน
การแก้ปัญหา -
ต้องระบบคอมพิวเตอร์ตรวจเช็คผลิตภัณฑ์ขาเข้า ขาออกเพื่อง่ายต่อการเช็คของและได้ตาม
FIFO
ด้วย
-
ต้องใช้รถที่ใช้ในการยกของ
- ต้องใช้เครื่องจักรกลปิดฉลาก
ปิดหีบสินค้าเพื่อให้ได้ความคงทนและแข็งแรง
4. แผนกผลิตและบรรจุภัณฑ์
- ผลิตและบรรจุภัณฑ์ให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด
- ต้องรักษาความสะอาดอย่าให้มีอะไรปนเปื้อนในการบรรจุภัณฑ์
ปัญหาคือ - ในการบรรจุในแต่ละครั้งได้ปริมาณไม่เท่ากัน
- สินค้าที่ต้องผลิตเยอะ
ทำให้ต้องจ้างพนักงานมาหลายคน ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณและเวลา
- ทำให้เกิดการปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์มากขึ้น
-
ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการปิดฝานั้นไม่มีความคงทนและแข็งแรงเพียงพอ
-
ในการบรรจุภัณฑ์รวมถึงการปิดฝาต้องใช้ความชำนาญสูง เพราะอาจเกิดอันตรายได้
การแก้ปัญหา - ต้องใช้เครื่องจักรกลในการบรรจุผลิตภัณฑ์เพื่อให้ได้ปริมาณที่เท่ากันและไม่เกิดการปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์
รวมไปถึงการปิดฝาด้วยเครื่องจักรกลจะได้ความคงทนและแข็งแรงและไม่เสี่ยงต่อพนักงานอีกด้วย
5. แผนกควบคุมคุณภาพ
- ตรวจสอบผลิตภัณฑ์
เพื่อที่จะส่งออกไปขาย
-
การวิเคราะห์คุณภาพทางเคมีและแบคทีเรียของผลิตภัณฑ์
ปัญหาคือ - ในการตรวจสอบผลิตภัณฑ์อาจไม่ทั่วถึง
ทำให้บางทีสินค้าไม่มีคุณภาพเพียงพอก่อออกจำหน่าย
- ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่ชำรุดได้ยากเช่น
กระป๋องขึ้นสนิม เป็นต้น
การแก้ปัญหา -
ต้องใช้เครื่องแสกนเพื่อให้ตรวจสอบได้ทั่วถึง
6. แผนกขนส่ง
- ตรวจสอบรายการสินค้าก่อนนำไปส่งจำหน่าย
- ขนส่งสินค้าออกไปส่งจำหน่าย
ปัญหาคือ - ในการขนส่งบางทีรถที่บรรทุกไปอาจไม่ได้มาตรฐาน
ทำให้เกิดการกระแทกจนกระป๋องบุบได้
-
ต้องใช้พนักงานจำนวนมากในการเคลื่อนย้ายของขึ้นรถ
- ตรวจเช็คได้ยาก
บางทีสินค้าที่จะส่ง ไปในบริเวณใกล้เคียงกันทำให้เสียเวลา
-
ในการขนย้ายของขึ้นรถของอาจตกหล่นลงได้
การแก้ปัญหา -
ต้องใช้จำพวกรถคอนเทนเนอร์บรรทุกและใช้รถยกของในการเคลื่อนย้ายเพื่อความรวดเร็ว
-
ต้องใช้โปรแกรมในระบบคอมพิวเตอร์เก็บข้อมูลการสั่งลูกค้าตอนส่งสินค้าจะได้เช็คได้
7.
แผนกการตลาด
- สำรวจความพึงพอใจของลูกค้าเพื่อพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์
- ประสานงานในการจัดทำแผนปฏิบัติประจำปี
- ติดตามผล และสรุปผลงานแผนทุกหน่วยงานตามแผนวิสาหกิจประจำปี
- วางแผนกลยุทธ์การตลาดเพื่อเพิ่มและขยายส่วนครองตลาด
- หาช่องทางการขายสินค้าให้ได้มากที่สุด
- ประชาสัมพันธ์สินค้า
ปัญหาคือ -
ต้องไปประเมินความต้องการและความพึงพอใจของลูกค้าด้วยตัวเอง
-ไม่สามารถประชาสัมพันธ์ให้แก่ลูกค้าได้อย่างทั่วถึง
- รู้ข่าวสารในตลาดกลางได้ช้า
การแก้ปัญหา
-
ต้องใช้ระบบอินเตอร์เน็ตในการตรวจสอบความพึงพอใจขอลูกค้าและการเช็คข่าวสารในตลาดกลางรวมไปถึงการประชาสัมพันธ์
แต่การประชาสัมพันธ์สินค้านี้อาจใช้โทรทัศน์ วิทยุ โพสเตอร์ฯ
8. แผนกบัญชีและการเงิน
- เปิดใบกำกับภาษี/ใบส่งสินค้า/ใบแจ้งหนี้
- จัดทำใบวางบิลค่าสินค้า/ค่าขนส่งสินค้าและบริการอื่น
- จัดซื้อ จัดหา จัดจ้าง
วัตถุดิบ อุปกรณ์ เครื่องบรรจุภัณฑ์
- ตรวจสอบการรับเงินโอน
เช็ค เงินสด ออกใบเสร็จรับเงิน
- วางแผนการชำระค่าสินค้า
วัตถุดิบ อุปกรณ์และบริการต่างๆ
- เสนอเช็นเช็ค โอนเงิน
จ่ายเช็ค จัดทำรายงานทางการเงินและบัญชี
ปัญหาคือ - อาจเกิดข้อผิดพลาดเรื่องเงินได้สูง
- จ่ายค่าตอบแทนให้แก่พนักงานได้ยาก
-
ในการคิดบัญชีรายรับรายจ่ายทำได้ยาก
-
สืบค้นบัญชีย้อนหลังได้ยาก
- ใบกำกับภาษี/ใบส่งสินค้า/ใบแจ้งหนี้ไม่ชัดเจนอาจเกิดการเข้าใจผิดได้
การแก้ปัญหา - ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการคำนวนรายรับรายจ่าย
การทำใบกำกับภาษี/ใบส่งสินค้า/ใบแจ้งหนี้ฯ
-
ใช้ระบบอินเตอร์เน็ตในการออนไลน์ผ่านธนาคารเข้าบัญชีเงินฝากของให้พนักงาน
9. แผนกรักษาความปลอดภัย
- เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมีหน้าที่ปกป้องดูแลชีวิต
และทรัพย์สินของผู้ว่าจ้างไม่ให้ได้รับความสูญหาย เสียหาย
- ป้องกันอัคคีภัย
ผู้บุกรุกเข้าไปในเขตหวงห้าม ป้องกันการโจรกรรม และอาชญากรรม การสูญเสียอื่นๆ
ตลอดจนความเสียหายต่างๆ ในอันที่จะทำให้ผู้ว่าจ้างต้องสูญเสียผลประโยชน์ไป
ปัญหาคือ - เมื่อมีคนบุกรุกจะดูแลไม่ทั่วถึง
- เมื่อเกิดปัญหา เช่น ไฟไหม้
มีผู้บุกรุก หรือมีคนขอความช่วยเหลือทำให้ติดต่อสื่อสารกันยาก
- ไม่สามารถบันทึกการเข้าออกภายในบริษัทได้
การแก้ปัญหา - ต้องใช้กล้องวงจรปิดในการบันทึกข้อมูล
-
ต้องใช้วิทยุสื่อสารเพื่อติดต่อกันได้รวดเร็ว
10. แผนกบุคลากร
- จัดหาและคัดเลือกพนักงานที่เข้ามาทำงาน
- ทำทะเบียนพนักงาน
เก็บประวัติพนักงาน
ปัญหาคือ - พนักงานไม่สามารถตรวจสอบตารางการทำงานผ่านทางอื่นได้
- ไม่สามารถรู้ถึงจำนวนพนักงานที่ต้องการรับได้
- ไม่สามารถสืบค้นประวัติพนักงานย้อนหลังได้
การแก้ปัญหา - ต้องใช้ระบบคอมพิวเตอร์บันทึกประวัติการทำงานของพนักงานเพื่อง่ายต่อการสืบค้น
- ต้องใช้ระบบคอมพิวเตอร์ลิงก์ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตลงตารางการทำงานของพนักงาน
ปัญหาระหว่างแผนกจัดซื้อกับแผนกคลังวัตถุดิบ
คือถ้าหากไม่ทราบยอดที่แน่นอนจากคลังวัตถุดิบว่าต้องการของเท่าไรแผนกจัดซื้อก็ไม่แน่ชัดสั่งของเข้ามาอาจไม่พอหรือเหลืออีก
ปัญหาระหว่างแผนกการตลาดกับแผนกคลังสินค้า
คือหากแผนกการตลาดไม่เช็คท้องตลาดอยู่บ่อยๆสินค้าที่อยู่ในแผนกคลังสินค้าก็จะล้นสต๊อกได้
เพราะสินค้าต้องปรับเปลี่ยนเสมอเพื่อให้ลูกค้ามีความพึงพอใจ
ปัญหาระหว่างแผนกผลิตและบรรจุภัณฑ์กับแผนกคลังสินค้า
คือหากแผนกผลิตและบรรจุภัณฑ์เอาแต่ผลิตไม่สนใจว่ากับแผนกคลังสินค้ามีสินค้าในคลังเท่าไรทำให้สินค้าล้นสต็อกได้
ปัญหาระหว่างแผนกการตลาดกับแผนกผลิตและบรรจุภัณฑ์
คือหากแผนกการตลาดรู้ว่าตลาดต้องการของจำนวนมากกว่าปกติถ้าแผนกผลิตและบรรจุภัณฑ์ไม่รีบเร่งผลิตก็ทำให้เกิดการเสียดุลการค้าไปได้
ปัญหาระหว่างแผนกบัญชีและการเงินกับแผนกบุคลากร
คือหากบริษัทเกิดภาวะช็อตของที่ผลิตไปขายไม่ได้แล้วถ้าแผนกบุคลากรรับคนเข้ามาเยอะจะทำให้แผนกบัญชีและการเงินต้องเสียค่าแรงงานเพิ่มขึ้นอีก
สรุปปัญหาทั้งหมด
1.
ในแต่ละเดือนไม่สามารถทราบได้แน่ชัดว่าบริษัทสั่งสินค้าจำนวนเท่าไร ราคา
มากเท่าไร
2.
บิลสั่งของอาจหล่นหายจนเช็คของคลาดเคลื่อน
3.
บางครั้งสั่งไม่ตรงตามที่ต้องการ
4.
เมื่อผู้ขายสินค้าเจ้าเก่าส่งสินค้ามาไม่พอแผนกจัดสั่งซื้อของจำเป็นต้องหาผู้ขายสินค้ารายใหม่อย่างรวดเร็ว
5.
วัตถุดิบล้นคลัง
6.
ใช้ของไม่ตรงตาม FIFO
7.
วัตถุดิบที่เข้ามาเช่น ปลาสด
มีเวลาอยู่ได้ไม่นานเพราะไม่ได้อุณหภูมิ
8.
เสียเวลาในการคัดแยกวัตถุดิบ
9.
ในการลำเลียงวัตถุดิบไปยังการบรรจุภัณฑ์ทำให้ของเสียหายได้
10.
ทำให้ยุ่งยากต่อพนักงานในการเช็คของหรือพนักงานอาจจะเช็คของตกหล่นได้ง่าย
จัดเรียงสินค้าไม่ตามFIFO
11.ในแต่ละคนปิดฉลากไม่เหมือนกันไม่เท่ากัน
ทำให้ฉลากที่ออกไปนั้นไม่สมบูรณ์และไม่เหมือนกัน
สินค้าที่ออกไปนั้นเกิดความเสียหายได้
12.
เสียเวลาในการลำเลียงของออกจากคลัง เพราะของมีปริมาณมาก
13. ในการปิดฉลาก
ปิดหีบสินค้าล้าช้าและสิ้นเปลืองแรงงาน
14.
ในการบรรจุในแต่ละครั้งได้ปริมาณไม่เท่ากัน
15.
สินค้าที่ต้องผลิตเยอะ ทำให้ต้องจ้างพนักงานมาหลายคน
ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณและเวลา
16.
ทำให้เกิดการปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์มากขึ้น
17.
ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการปิดฝานั้นไม่มีความคงทนและแข็งแรงเพียงพอ
18.
ในการบรรจุภัณฑ์รวมถึงการปิดฝาต้องใช้ความชำนาญสูง เพราะอาจเกิดอันตรายได้
19.
ในการตรวจสอบผลิตภัณฑ์อาจไม่ทั่วถึง
ทำให้บางทีสินค้าไม่มีคุณภาพเพียงพอก่อออกจำหน่าย
20.ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่ชำรุดได้ยากเช่น
กระป๋องขึ้นสนิม เป็นต้น
21.
ในการขนส่งบางทีรถที่บรรทุกไปอาจไม่ได้มาตรฐาน ทำให้เกิดการกระแทกจนกระป๋องบุบได้
22.
ต้องใช้พนักงานจำนวนมากในการเคลื่อนย้ายของขึ้นรถ
23.
ตรวจเช็คได้ยาก บางทีสินค้าที่จะส่ง ไปในบริเวณใกล้เคียงกันทำให้เสียเวลา
24.
ในการขนย้ายของขึ้นรถของอาจตกหล่นลงได้
25.
ต้องไปประเมินความต้องการและความพึงพอใจของลูกค้าด้วยตัวเอง
26. ไม่สามารถประชาสัมพันธ์ให้แก่ลูกค้าได้อย่างทั่วถึง
27.
รู้ข่าวสารในตลาดกลางได้ช้า
28.
อาจเกิดข้อผิดพลาดเรื่องเงินได้สูง
29.
จ่ายค่าตอบแทนให้แก่พนักงานได้ยาก
30.
ในการคิดบัญชีรายรับรายจ่ายทำได้ยาก
31.
สืบค้นบัญชีย้อนหลังได้ยาก
32.
ใบกำกับภาษี/ใบส่งสินค้า/ใบแจ้งหนี้ไม่ชัดเจนอาจเกิดการเข้าใจผิดได้
33.
เมื่อมีคนบุกรุกจะดูแลไม่ทั่วถึง
34.
เมื่อเกิดปัญหา เช่น ไฟไหม้ มีผู้บุกรุก
หรือมีคนขอความช่วยเหลือทำให้ติดต่อสื่อสารกันยาก
35.
ไม่สามารถบันทึกการเข้าออกภายในบริษัทได้
36.
พนักงานไม่สามารถตรวจสอบตารางการทำงานผ่านทางอื่นได้
37.
ไม่สามารถรู้ถึงจำนวนพนักงานที่ต้องการรับได้
38.
ไม่สามารถสืบค้นประวัติพนักงานย้อนหลังได้
การใช้ระบบต่างๆในการแก้ปัญหา
มีหัวข้อดังต่อไปนี้
1.ระบบจัดการคลังสินค้า
-
ในแต่ละเดือนไม่สามารถทราบได้แน่ชัดว่าบริษัทสั่งสินค้าจำนวนเท่าไร
ราคา มากเท่าไร
-
บิลสั่งของอาจหล่นหายจนเช็คของคลาดเคลื่อน
-
บางครั้งสั่งไม่ตรงตามที่ต้องการ
-
วัตถุดิบล้นคลัง
-
ใช้ของไม่ตรงตาม FIFO
-
วัตถุดิบที่เข้ามาเช่น ปลาสด มีเวลาอยู่ได้ไม่นานเพราะไม่ได้อุณหภูมิ
-
เสียเวลาในการคัดแยกวัตถุดิบ
-
ในการลำเลียงวัตถุดิบไปยังการบรรจุภัณฑ์ทำให้ของเสียหายได้
-
ทำให้ยุ่งยากต่อพนักงานในการเช็คของหรือพนักงานอาจจะเช็คของตกหล่นได้ง่าย
-
จัดเรียงสินค้าไม่ตามFIFO
-
ในแต่ละคนปิดฉลากไม่เหมือนกันไม่เท่ากัน
ทำให้ฉลากที่ออกไปนั้นไม่สมบูรณ์และไม่เหมือนกัน
-
สินค้าที่ออกไปนั้นเกิดความเสียหายได้
-
เสียเวลาในการลำเลียงของออกจากคลัง
เพราะของมีปริมาณมาก
2.ระบบคำนวณเงินเดือน
-
ในการปิดฉลาก
ปิดหีบสินค้าล้าช้าและสิ้นเปลืองแรงงาน
-
สินค้าที่ต้องผลิตเยอะ
ทำให้ต้องจ้างพนักงานมาหลายคน ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณและเวลา
-
จ่ายค่าตอบแทนให้แก่พนักงานได้ยาก
3.ระบบบันทึกบัญชีรายรับรายจ่าย
-
เมื่อผู้ขายสินค้าเจ้าเก่าส่งสินค้ามาไม่พอแผนกจัดสั่งซื้อของจำเป็นต้องหาผู้ขายสินค้ารายใหม่อย่างรวดเร็ว
-
อาจเกิดข้อผิดพลาดเรื่องเงินได้สูง
-
ในการคิดบัญชีรายรับรายจ่ายทำได้ยาก
-
สืบค้นบัญชีย้อนหลังได้ยาก
-
ใบกำกับภาษี/ใบส่งสินค้า/ใบแจ้งหนี้ไม่ชัดเจนอาจเกิดการเข้าใจผิดได้
4.ระบบบริหารสารสนเทศพนักงาน
-
ในการปิดฉลาก ปิดหีบสินค้าล้าช้าและสิ้นเปลืองแรงงาน
-
สินค้าที่ต้องผลิตเยอะ
ทำให้ต้องจ้างพนักงานมาหลายคน ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณและเวลา
-
ทำให้เกิดการปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์มากขึ้น
-
ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการปิดฝานั้นไม่มีความคงทนและแข็งแรงเพียงพอ
-
ในการบรรจุภัณฑ์รวมถึงการปิดฝาต้องใช้ความชำนาญสูง
เพราะอาจเกิดอันตรายได้
-
ในการตรวจสอบผลิตภัณฑ์อาจไม่ทั่วถึง
ทำให้บางทีสินค้าไม่มีคุณภาพเพียงพอก่อออกจำหน่าย
-
ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่ชำรุดได้ยากเช่น
กระป๋องขึ้นสนิม เป็นต้น
-
ในการขนส่งบางทีรถที่บรรทุกไปอาจไม่ได้มาตรฐาน
ทำให้เกิดการกระแทกจนกระป๋องบุบได้
-
ต้องใช้พนักงานจำนวนมากในการเคลื่อนย้ายของขึ้นรถ
-
พนักงานไม่สามารถตรวจสอบตารางการทำงานผ่านทางอื่นได้
-
ไม่สามารถสืบค้นประวัติพนักงานย้อนหลังได้
-
ไม่สามารถรู้ถึงจำนวนพนักงานที่ต้องการรับได้
5.ระบบป้องกันภัย
-
เมื่อมีคนบุกรุกจะดูแลไม่ทั่วถึง
-
เมื่อเกิดปัญหา เช่น ไฟไหม้ มีผู้บุกรุก หรือมีคนขอความช่วยเหลือทำให้ติดต่อสื่อสารกันยาก
-
ไม่สามารถบันทึกการเข้าออกภายในบริษัทได้
ลักษณะการทำงานในระบบใหม่
1. ในส่วนของการตลาด
-
มีการบันทึกข้อมูลรายละเอียดสินค้า และราคาสินค้าลงในฐานข้อมูล
เพื่อใช้ในการอ้างอิงและเรียกใช้ข้อมูลเมื่อมีการซื้อขายเกิดขึ้น
-
ใช้เครื่องอ่านรหัสแถบ อ่านรหัสแถบเพื่อการจำแนกสินค้า
และดึงข้อมูลราคาสินค้าจากฐานข้อมูลมาประมวลผล แทนการจดรายการสินค้าด้วยมือแบบเก่า
-
ข้อมูลรายการสินค้า และยอดรวมราคาสินค้า (ใบเสร็จ)
จะมีการจัดพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์
2. ในส่วนของการจัดการสินค้าคงคลัง
-
ข้อมูลรายการสินค้า รายละเอียดสินค้า ความเคลื่อนไหวของสินค้า (ยอดขาย)
และข้อมูลแหล่งสินค้าจะถูกบันทึกในฐานข้อมูล
- มีโปรแกรมอำนวยความสะดวกในการสืบค้นข้อมูล
แก้ไขปรับเปลี่ยน และการเพิ่มข้อมูล
-
มีโปรแกรมประมวลผลยอดขายสินค้า เพื่อการจำแนกความสำคัญของสินค้า
เพื่อช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับระดับการควบคุมสินค้า
3. ในส่วนของพนักงาน
-ทำการบันทึกประวัติของพนักงานโดยเก็บเป็นฐานข้อมูล
-มีการให้ Username, Password
แก่พนักงานในการเข้าถึงข้อมูล
4. ในส่วนของเจ้าของบริษัท
-สามารถดูยอดขายของแต่ละวันเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจในการสั่งซื้อสินค้า
-สามารถดูข้อมูลของพนักงานได้
การวางแผนระบบสารสนเทศประเมินความต้องการสารสนเทศในองค์กร
เราจะพัฒนาระบบงานภายในบริษัทให้ได้มาซึ่งสารสนเทศตามที่องค์กรความต้องการให้มีประสิทธิภาพ
และขั้นตอนการประเมินความต้องการสารสนเทศในองค์กร โดยเราจะเริ่มจากการเก็บรวบรวมข้อมูลของความต้องการสารสนเทศ
โดยการสัมภาษณ์ผู้บริหารและลูกค้า ซึ่งเป็นความต้องการสารสนเทศในด้านต่างของคู่แข่งขันทางการค้าสารสนเทศและจะการประเมินความต้องการในสารสนเทศของบริษัทอื่นๆด้วยการค้นหาบริษัทนี้เป็นขั้นตอนแรกของ
SDLC เพื่อเลือกสารสนเทศที่ดีที่สุดให้กับบริษัท
ซึ่งต้องปฏิบัติขั้นตอนต่างๆตามที่กำหนดไว้
เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนเริ่มต้นและการวางแผนการดำเนินโครงการ
ตารางแสดงรายการ
การทำงาน (Functions)
หรือกิจกรรมทางธุรกิจทั้งหมดขององค์กร
แสดงการจำแนกกิจกรรม
(Activities)
ของหน้าที่การทำงาน (Functions) ในองค์กร
แสดงความสัมพันธ์ระหว่างหน้าที่และหน่วยข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
(Function-to-Data
Entities)
การเสนอแนวทางเลือกในการนำระบบใหม่มาใช้งานค้นหาและสร้างแนวทางเลือกในการนำระบบใหม่มาใช้งาน
ลำดับที่
|
ระบบย่อย
|
รายละเอียดของข้อกำหนดคุณสมบัติทางเทคนิคและความต้องการเบื้องต้น
|
1
|
ระบบคำนวนเงินเดือน
|
บริหารจัดการข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจากข้อมูลที่ได้มีการบันทึกไว้
มีคุณสมบัติดังนี้
1. เงินล่วงเวลา
2. จำนวนวันที่ขาดงาน
3. สลิปเงินเดือนของพนักงาน
4. ภาษีหรือค่าประกันที่ต้องจ่าย
5. รายงานเงินเดือน ให้กับแผนกบัญชีและการเงิน
6. รายงานเงินเดือนให้กับธนาคาร
7. รายงานสรุปยอดเงินเดือนทั้งหมดที่ต้องจ่ายให้กับผู้บริหาร
|
2
|
ระบบบันทึกบัญชีรายรับรายจ่าย
|
บริหารจัดการเกี่ยวกับการบันทึก รายรับ /รายจ่ายของทั้งหมด
โดยมีคุณสมบัติดังนี้
1. รายการรับที่ได้จากการขายผลิตภัณฑ์และผลกำไร
2. รายการรับจากสวัสดิการอื่นๆ
3. รายการจ่ายค่าเงินเดือนของพนักงาน เช่น
ค่าล่างเวลา และสวัสดิการของพนักงาน
4. รายการจ่ายที่สั่งวัตถุดิบเข้ามาเพื่อการผลิต
5. รายจ่ายอื่นๆภายในบริษัท
6. ใบกำกับภาษี
7.รายงานสรุปรายรับรายจ่ายทั้งหมดให้กับผู้บริหาร
|
3
ลำดับที่
|
ระบบบริหารสารสนเทศพนักงาน
ระบบย่อย
|
บริหารจัดการเกี่ยวกับข้อมูลทั้งหมดของพนักงานทุกคน เพื่อที่จะสามารถเพิ่มเติม
แก้ไข ลบ ค้นหาข้อมูลพนักงานได้
โดยมีคุณสมบัติดังนี้
1. แบบฟอร์มการประเมินผลงานการทำงาน
2. ประวัติของพนักงาน
3. ใบลาออก
4. ใบสมัครพนักงานใหม่
5. รายละเอียดการฝึกอบรมในแต่ละขั้น
6. แบบฟอร์มการเปลี่ยนแปลงข้อมูลเช่นเปลี่ยนชื่อ
นามสกุล ที่อยู่ฯลฯ
7. เก็บข้อมูลและให้ประมวลผลให้กับผู้บริหาร
8. แผนกบุคคลสามารถค้นหาหรือสืบค้นข้อมูลของพนักงานได้
รายละเอียดของข้อกำหนดคุณสมบัติทางเทคนิคและความต้องการเบื้องต้น
|
4
|
ระบบป้องกันภัย
|
บริหารจัดการเกี่ยวกับความปลอดภัย
โดยมีคุณสมบัติดังนี้
1. เมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้น เช่น ไฟไหม้
ระบบต้องแสดงผลและส่งเสียงเตือนอัตโนมัติ
2. มีระบบแก้ไขเบื้องต้นโดยอัตโนมัติ
3. แสดงผลออกมาสู่ผู้ควบคุม
|
5
|
ระบบการจัดการคลังสินค้า
|
บริหารจัดการเกี่ยวกับการจัดระเบียบความเรียบร้อยของสินค้าในคลัง
โดยมีคุณสมบัติดังนี้
1. ประเภทของผลิตภัณฑ์
2. จัดการกับผลิตภัณฑ์ที่มาก่อนและหลัง
3. เก็บข้อมูลการนำผลิตภัณฑ์เข้า-ออกจากคลัง
4.
แสดงผลข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่และผลิตภัณฑ์ที่ถูกเอาออกไป
5. ข้อมูลต้องแสดงผลให้แผนกจัดซื้อและแผนกผลิต
|
จากนั้น ทีมงานได้สร้างแนวทางเลือกต่าง
ๆ ก่อนที่จะทำ การเปรียบเทียบในแต่ละแนวทางเลือก มีจำนวนทั้งสิ้น 3 ทาง
เพื่อให้ผู้บริหารพิจารณาว่าควรเลือกวิธีการพัฒนาและติดตั้งระบบใดที่จะก่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อบริษัท
โดยมีรายละเอียดดังนี้
ทางเลือกที่ 1 การจัดซื้อซอฟต์แวร์สำเร็จรูป
(Packaged Software)
ทางเลือกที่ 2 ว่าจ้างบริษัทจากภายนอกเพื่อพัฒนาระบบ
(Outsourcing)
ทางเลือกที่ 3 ใช้ทีมงานเดิมพัฒนาและติดตั้งระบบ
(In-House Development)
นอกจากนี้ ทางทีมงานได้จำ
ลอง
(Model) รูปแบบการนำ เสนอแนวทางเลือกที่ดีที่สุด สำ หรับพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานบุคคล
(Personal Information System: PIS) ดังรูป
ข้อเสนอแนะแนวทางเลือกทั้งสาม
ทางเลือกที่ 1 การจัดซื้อซอฟต์แวร์สำ เร็จรูป (Packaged Software)
แนวทางเลือกที่ 1: การจัดซื้อซอฟต์แวร์สำเร็จรูป
(Packaged Software) มีรายละเอียดดังตารางต่อไปนี้
ลำดับ
|
ความต้องการในระบบ /
เงื่อนไขพิจารณา
|
การจัดจำหน่ายซอฟแวร์สำเร็จรูป (Packaged Software)
|
||
ซอฟต์แวร์ A
|
ซอฟต์แวร์ B
|
ซอฟต์แวร์ C
|
||
ความต้องการในระบบตาม TOR:
|
||||
1.
2.
|
หน้าที่การทำ งาน (Functionality)
ความยืดหยุ่น (Flexibility)
|
ตรงตามข้อกำหนดTOR
ปรับแต่งได้ แต่เห็น สมควร โดยมากระทบ ต่อโครงสร้างหลัก
|
ตรงตามข้อกำหนดTOR
ไม่สามารถปรับแต่งได้
|
ตรงตามข้อกำหนดTOR
ปรับแต่งได้ แต่เห็น สมควร โดยมากระทบ ต่อโครงสร้างหลัก
|
เงื่อนไข:
|
||||
1.
2.
3.
|
ต้นทุน รวมค่าบำรุงรักษาระบบ
การบริการหลังการขายชุดซอฟต์แวร์ของผู้ขาย
คู่มือประกอบการใช้งาน
|
450,000 บาท
ติดตั้งและฝึกอบรมการ
ใช้งาน 2 วัน โดยไม่มีค่าใช่จ่าย
มีคู่มือสำ หรับผู้ใช้งาน
พร้อมสอบถามปัญหา
ได้ทางโทรศัพท์
|
400,000 บาท
ติดตั้งและเรียนรู้ด้วย
ตนเอง
มีคู่มือสำ หรับผู้ใช้งาน
พร้อมสอบถามปัญหา
ได้ทางโทรศัพท์
|
500,000 บาท
ติดตั้งและฝึกอบรมการใช้งาน 3
วัน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
มีคู่มือสำ หรับผู้ใช้งาน
|
4.
|
ระยะเวลาส่งมอบระบบ
|
30 วัน
|
30 วัน
|
20วัน
|
การประเมินแนวทางเลือกที่ 1
การประเมินผลแนวทางเลือกซอฟต์แวร์ที่เหมาะสม
โดยกำหนดเกณฑ์การให้นํ้าหนัก(คะแนน) เชิงปริมาณเปรียบเทียบไว้เป็น
4 ระดับ ดังนี้
นํ้าหนักเท่ากับ 4 ช่วงคะแนน
100 – 90 เปอร์เซ็นต์ เกณฑ์ที่ได้ ดีมาก
นํ้าหนักเท่ากับ 3 ช่วงคะแนน
89 – 70 เปอร์เซ็นต์ เกณฑ์ที่ได้
ดี
นํ้าหนักเท่ากับ 2 ช่วงคะแนน
69 – 50 เปอร์เซ็นต์ เกณฑ์ที่ได้
พอใช้
นํ้าหนักเท่ากับ 1 ช่วงคะแนน
49 – 30 เปอร์เซ็นต์ เกณฑ์ที่ได้
ปรับปรุง
ซึ่งผลจากการประเมิน โดยการให้นํ้าหนักหรือคะแนนของทีมงาน
ปรากฏผลดังตารางต่อไปนี้
ทีมงาน
/ซอฟต์แวร์
|
เปรียบเทียบการให้น้ำ หนัก (คะแนนเต็ม 12)
|
||
ซอฟต์แวร์
A
|
ซอฟต์แวร์
B
|
ซอฟต์แวร์
C
|
|
นักวิเคราะห์ระบบ
โปรแกรมเมอร์คนที่
1
โปรแกรมเมอร์คนที่ 2
|
3
4
3
|
2
3
2
|
4
3
2
|
รวม
|
11
|
7
|
9
|
คิดเป็นเปอร์เซ็นต์
|
92%
|
65%
|
85%
|
เกณฑ์ที่ได้
|
ดีมาก
|
พอใช้
|
ดี
|
สรุปผลการประเมินแนวทางเลือกที่ 1
จากการประเมินสามารถสรุปได้ว่าจะนำซอฟต์แวร์ A มาใช้งาน
เนื่องจากมีความเหมาะสมและ
ตรงกับความต้องการมากที่สุด
จึงเห็นสมควรว่าให้นำแนวทางเลือกนี้ไปเปรียบเทียบในขั้นตอนต่อไป
แนวทางเลือกที่ 2: ว่าจ้างบริษัทจากภายนอกเพื่อพัฒนาระบบ (Outsourcing) มีรายละเอียดดังตารางต่อไปนี้
ลำดับ
|
ความต้องการในระบบ /
เงื่อนไขพิจารณา
|
การว่าจ้างบริษัทจากภายนอกเพื่อพัฒนาระบบ
|
||
บริษัท A
|
บริษัท B
|
บริษัท C
|
||
ความต้องการในระบบตาม TOR:
|
||||
1.
2.
|
หน้าที่การทำ งาน (Functionality)
ความยืดหยุ่น (Flexibility)
|
ตรงตามข้อกำหนดTOR
ไม่สามารถปรับแต่งได้
|
ตรงตามข้อกำหนดTOR
ปรับแต่งได้ แต่เห็น สมควร โดยมากระทบ ต่อโครงสร้างหลัก
|
ตรงตามข้อกำหนดTOR
ปรับแต่งได้ แต่เห็น สมควร โดยมากระทบ ต่อโครงสร้างหลัก
|
เงื่อนไข:
|
||||
1.
2.
3.
|
ต้นทุน รวมค่าบำรุงรักษาระบบ
การบริการหลังการขายชุดซอฟต์แวร์ของผู้ขาย
คู่มือประกอบการใช้งาน
|
400,000 บาท
ติดตั้งและเรียนรู้ด้วย
ตนเอง
มีคู่มือสำ หรับผู้ใช้งาน
พร้อมสอบถามปัญหา
ได้ทางโทรศัพท์
|
550,000 บาท
ติดตั้งและฝึกอบรมการ
ใช้งาน 2 วัน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
มีคู่มือสำ หรับผู้ใช้งาน
พร้อมสอบถามปัญหา
ได้ทางโทรศัพท์
|
450,000 บาท
ติดตั้งและเรียนรู้ด้วยตนเอง
มีคู่มือสำ หรับผู้ใช้งาน
|
4.
|
ระยะเวลาส่งมอบระบบ
|
60 วัน
|
30 วัน
|
75 วัน
|
5.
|
ความมีชื่อเสียงของบริษัท
|
เปิดมาแล้วกว่า 4ปี
|
เปิดมาแล้วกว่า 10ปี และมีการจดทะเบียน ไม่น้อยกว่า 5ล้านบาท
|
เปิดมาแล้วกว่า 6
มีการจดทะเบียน ไม่น้อยกว่า 3 ล้านบาท
|
6.
|
ประสบการณ์ในการพัฒนาระบบ
|
มีจำนวน 15
โครงการที่เคยพัฒนา
ระบบงานที่มีมูลค่า
ไม่น้อยกว่า
200,000 บ. ต่อหนึ่ง
โครงการ
|
มีจำนวน 20
โครงการที่เคยพัฒนา
ระบบงานที่มีมูลค่า
ไม่น้อยกว่า
500,000 บ. ต่อหนึ่ง
โครงการ
|
พัฒนาระบบงานมา
แล้วทั้งสิ้นจำนวน
10 โครงการ
|
การประเมินแนวทางเลือกที่ 2
ใช้กฎเกณฑ์การให้นํ้าหนัก (คะแนน) เช่นเดียวกันกับแนวทางเลือกที่
1 ปรากฏผลดังตารางต่อไปนี้
ทีมงาน
/ซอฟต์แวร์
|
เปรียบเทียบการให้น้ำ หนัก (คะแนนเต็ม 12)
|
||
บริษัท
A
|
บริษัท
B
|
บริษัท
C
|
|
นักวิเคราะห์ระบบ
โปรแกรมเมอร์คนที่
1
โปรแกรมเมอร์คนที่ 2
|
3
3
3
|
4
4
3
|
2
3
2
|
รวม
|
9
|
11
|
7
|
คิดเป็นเปอร์เซ็นต์
|
85%
|
92%
|
65%
|
เกณฑ์ที่ได้
|
ดี
|
ดีมาก
|
พอใช้
|
สรุปผลการประเมินแนวทางเลือกที่ 2
จากการประเมินสามารถสรุปได้ว่าเลือกบริษัท
B เนื่องจากมีความเหมาะสมและตรงกับความต้องการมากที่สุด
จึงเห็นสมควรว่าให้นำแนวทางเลือกนี้ไปเปรียบเทียบในขั้นตอนต่อไป
แนวทางเลือกที่ 3: ใช้ทีมงานเดิมพัฒนาและติดตั้งระบบ
(In-House Development) มีรายละเอียดเพิ่มเติมดังตารางต่อไปนี้
ลำดับ
|
ความต้องการในระบบ /เงื่อนไขพิจารณา
|
ใช้ทีมงานเดิมพัฒนาและติดตั้งระบบ (In-House Development)
|
ความต้องการในระบบตาม
TOR:
|
||
1.
2.
|
หน้าที่การทำ งาน (Functionality)
ความยืดหยุ่น (Flexibility)
|
สามารถพัฒนาระบบได้ตามข้อกำหนดคุณสมบัติทางเทคนิคและความต้องการที่ได้จัดทำไว้เอง
ปรับแต่งระบบได้ตามความต้องการของผู้ใช้งานแล้ว
|
เงื่อนไข:
|
||
1.
2.
3.
4.
5.
|
ต้นทุน (Cost)
การบริการหลังการติดตั้งแล้วเสร็จ
คู่มือประกอบการใช้งาน(Documentation)
ระยะเวลาส่งมอบระบบ
ขีดความสามารถของพนักงาน
|
300,000
สามารถให้การฝึกอบรมแก่ผู้ใช้งานได้
รวมถึงการบำรุงรักษาระบบให้เป็นปัจจุบัน
จัดทำ คู่มือประกอบการใช้งาน
4 เดือน 15 วัน
ทีมงานทั้ง 3 คน มีขีดความสามารถที่จะพัฒนาระบบเองได้ โดยใช้
เครื่องมือและเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิม
|
สรุปผลการประเมินแนวทางเลือกที่ 3
จากการพิจารณาสามารถสรุปได้ว่าทางทีมงาน
มีขีดความสามารถที่จะพัฒนาระบบได้ตามข้อกำหนดคุณสมบัติทางเทคนิคและความต้องการของผู้ใช้งานตามที่จัดทำ
ไว้เป็น
TOR โดยใช้ระยะเวลาดำ เนินการจำนวนทั้งสิ้น 6 เดือน
และมีค่าเงินเดือน ค่าอุปกรณ์ ค่าล่วงเวลา ค่าเบ็ดเตล็ด และค่าสำ รองฉุกเฉิน เป็นต้นรวมทั้งสิ้น
250,000 บาท
เปรียบเทียบแนวทางเลือกทั้งสาม
ผลจากการพิจารณาแนวทางเลือกของทีมงานจากทั้งสามแนวทาง
จะนำ เสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะผู้บริหารเพื่อพิจารณาเลือกแนวทางทั้งสามตามที่ได้นำโดยมีรายละเอียดดั้งตารางนี้
ลำดับ
|
ความต้องการในระบบ /
เงื่อนไขพิจารณา
|
แนวทางเลือกทั้งสาม
|
||
การจัดซื้อซอฟต์แวร์
สำเร็จรูป A
(Packaged
Software)
|
การว่าจ้างบริษัท B
เพื่อพัฒนาระบบ
(Outsourcing)
|
ใช้ทีมงานเดิมพัฒนา
และติดตั้งระบบ
(In-House
Development)
|
||
ความต้องการในระบบตาม TOR:
|
||||
1.
2.
|
หน้าที่การทำ งาน
(Functionality)
ความยืดหยุ่น
(Flexibility)
|
สามารถพัฒนาระบบได้ตามข้อกำหนดคุณสมบัติทางเทคนิคและความต้องการที่ได้จัดทำ ไว้
ปรับแต่งได้ แต่เห็น สมควร โดยมากระทบ ต่อโครงสร้างหลักขององค์กร
|
สามารถพัฒนาระบบได้ตามข้อกำหนดคุณสมบัติทางเทคนิคและ
ความต้องการที่ได้จัดทำ
ไว้
ปรับแต่งได้ แต่เห็น สมควร โดยมากระทบ ต่อโครงสร้างหลักขององค์กร
|
สามารถพัฒนาระบบได้ตามข้อกำหนดคุณสมบัติทางเทคนิคและ
ความต้องการที่ได้จัดทำ
ไว้
ปรับแต่งได้ แต่เห็น สมควร โดยมากระทบ ต่อโครงสร้างหลักขององค์กรและระบบได้ตามความต้องการของผู้ใช้งาน
|
เงื่อนไข:
|
||||
1.
2.
3.
|
ต้นทุน รวมค่าบำรุงรักษาระบบ
การบริการหลังการขายชุดซอฟต์แวร์ของผู้ขาย
คู่มือประกอบการใช้งาน
|
450,000 บาท
ติดตั้งและฝึกอบรมการใช้งาน 2 วัน โดยไม่มีค่าใช่จ่าย
มีคู่มือสำ หรับผู้ใช้งานพร้อมสอบถามปัญหาได้ทางโทรศัพท์
|
550,000 บาท
ติดตั้งและฝึกอบรมการใช้งาน 2 วัน โดยไม่มีค่าใช่จ่าย
มีคู่มือสำ หรับผู้ใช้งานพร้อมสอบถามปัญหาได้ทางโทรศัพท์
|
300,000 บาท
สามารถให้การฝึกอบรมแก่ผู้ใช้งานได้
รวมถึงการบำรุงรักษาระบบให้เป็นปัจจุบัน
จัดทำ
คู่มือประกอบการใช้งาน
|
4.
|
ระยะเวลาส่งมอบระบบ
|
1 เดือน 15 วัน
|
30 วัน
|
4 เดือน 15 วัน
|
ข้อเสนอแนะแนวทางเลือกทั้งสาม
ทางเลือกที่ 1 การจัดซื้อซอฟต์แวร์สำ เร็จรูป (Packaged Software)
-
ข้อดี ระบบจะมีความยืดหยุ่นสามารถรองรับความต้องการได้เกือบทั้งหมด
และใช้เวลาในการติดตั้งน้อยอีกด้วย
-
ข้อเสีย ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับแนวทางที่ใช้ทีมงานเดิมพัฒนาและติดตั้งระบบเอง
เงินทั้งสิ้นจำนวน 450,000 บาท อีกทั้งทางทีมงานจะต้องต้องเรียนรู้ในรายละเอียดของซอฟต์แวร์สำเร็จรูป
หรืออาจต้องแก้ไขปรับปรุง และเพิ่มเติมซึ่งจะทำให้เสียเวลา
อาจจะต้องใช้เวลาในการศึกษาประมาณ 1-2 เดือน
ทางเลือกที่ 2 ว่าจ้างบริษัทจากภายนอกเพื่อพัฒนาระบบ
(Outsourcing)
-
ข้อดี ระบบจะมีความยืดหยุ่นสามารถรองรับความต้องการได้เกือบทั้งหมด
สามารถแก้ไขและปรับปรุงระบบได้ในระหว่างขั้นตอนพัฒนาระบบใหม่ ใช้เวลาในการดำ เนินงานน้อยสุดแค่
30 วัน
-
ข้อเสีย มีค่าใช้จ่ายสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบราคาของทั้งสามแนวทาง
เงินทั้งสิ้นจำนวน 550,000 บาท ทีมงานต้องจัดทำ TOR ให้ครบถ้วนและสมบูรณ์ที่สุด
บางครั้งงานที่ออกมาไม่ละเอียดเพียงพอที่เราต้องการและความลับของบริษัทก็รั่วไหล
ซึ่งจะเสี่ยงต่อการดำเนินธุรกิจ คู่แข่งเราอาจจะรู้ได้
ทางเลือกที่ 3 ใช้ทีมงานเดิมพัฒนาและติดตั้งระบบ
(In-House Development)
-
ข้อดี ระบบจะมีความยืดหยุ่นสามารถรองรับความต้องการได้เกือบทั้งหมด
สามารถแก้ไขและปรับปรุงระบบได้ตลอด และความลับบริษัทก็ไม่รั่วไหล ด้านค่าใช้จ่ายก็ต่ำที่สุดเมื่อเปรียบเทียบทั้งสามแนวทาง
เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 300,000 บาท รวมทั้งเมื่อเกิดปัญหาก็ไม่ต้องเสียค่าจ้างโปรแกรมเมอร์มาแทนและยังทำให้ภายในองค์กรมีความรู้เพิ่มเติม
-
ข้อเสีย มีระยะเวลาในการดำ เนินงานมากที่สุด ถึง
4 เดือน 15 วัน ซึ่งเกิดความล้าช้าและเสียเวลาถ้าหากต้องใช้ระบบด่วน
ผู้บริหารเลือกแนวทางที่ดีที่สุด
จากข้อเสนอแนะแนวทางเลือกทั้งสามได้ทำการเปรียบเทียบเพื่อให้ผู้บริหารได้ตัดสินใจได้ผลดังตารางต่อไปนี้
ทีมงาน
/ซอฟต์แวร์
|
เปรียบเทียบการให้น้ำ หนัก (คะแนนเต็ม 12)
|
||
การจัดซื้อซอฟต์แวร์
สำเร็จรูป A
(Packaged Software)
|
การว่าจ้างบริษัท
B
เพื่อพัฒนาระบบ
(Outsourcing)
|
ใช้ทีมงานเดิมพัฒนา
และติดตั้งระบบ
(In-House
Development)
|
|
นักวิเคราะห์ระบบ
โปรแกรมเมอร์คนที่
1
โปรแกรมเมอร์คนที่ 2
|
3
3
3
|
2
3
2
|
4
4
3
|
รวม
|
9
|
7
|
7
|
คิดเป็นเปอร์เซ็นต์
|
85%
|
65%
|
92 %
|
เกณฑ์ที่ได้
|
ดี
|
พอใช้
|
ดีมาก
|
สรุปผลการประเมินโดยทีมงานผู้บริหาร
ได้พิจารณาตัดสินใจเลือกแนวทางใช้ทีมงานเดิมพัฒนาและติดตั้งระบบ (In-House
Development) เนื่องจากมีความเหมาะสมและตรงกับความต้องการมากที่สุด นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงานและความคุ้มค่าใช้ในการลงทุนแล้ว
Context
Diagram ระบบจัดการสินค้าคลัง
Dataflow
diagram ( Level 0 ) ระบบจัดการสินค้าคงคลัง
Dataflow diagram ( Level
1)
ระบบจัดการสินค้าคงคลัง
Dataflow
diagram ( Level 2) ระบบจัดการสินค้าคงคลัง

รูปแบบหน้าต่างโปรแกรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น